โลกร้อนขึ้นกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ
โลกเจอกับภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น
หลายคนถามว่าเป็นเพราะปัญหาโลกร้อนจริงหรือไม่ สุดท้าย ก็โยนไปให้เป็นความผิดของภาวะโลกร้อนซึ่งต้นตอก็มาจากฝีมือมนุษย์นั่นเอง
ภัยพิบัติทางธรรมชาติแยกออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ
คือ
(1)
ภัยจากน้ำและดินฟ้าอากาศ (Hydro-Meteorological) เช่น พายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง
(2) ภัยจากธรณีวิทยา
(Geophysical) เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คลื่นสึนามิ
(3) ภัยจากเชื้อโรค
(Biological) เช่น โรคระบาดร้ายแรงต่างๆ
การที่จะบอกว่า
โลกเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้งขึ้นและรุนแรงมากขึ้นเพราะสาเหตุโลก ร้อนนั้น
ต้องมีหลักฐานมาพิสูจน์ ทั้งนี้ จากการค้นคว้าพบว่า ย้อนหลังไปตั้งแต่ ปี 2443 – 2548 หรือ ร้อยปีที่ผ่านมา
ระยะ 50 ปีแรก ภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นน้อยมาก
กราฟเริ่มเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ 50 ปี ที่ผ่านมา
โดยเฉพาะสถิติน้ำท่วมสูงขึ้นอย่างผิดปกติ
หากดูสถิติในช่วงเวลาที่แคบลงมาอีกนิด
คือ ระหว่างปี 2518-2548 หรือ ช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
กราฟภัยพิบัติทางธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้นในระดับ 45 องศา
ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
และความเสียหายด้านเศรษฐกิจอย่างมหาศาล พบว่า น้ำท่วมมีมากที่สุด ( 30.7) รองลงมาคือพายุลม (26.6) จากนั้นเป็นโรคระบาด (11.2)
และแผ่นดินไหว (8.6) แต่ภัยแล้งก็มีมากขึ้น (7.8)
ดังเช่นที่ออสเตรเลียและแคลิฟอร์เนียเจอมาแล้ว
ส่วนแผ่นดินถล่มน้อยที่สุด ภัยพิบัติประเภทสองมีไม่มาก แผ่นดินไหวบ่อยขึ้นแต่ยังน้อย
ส่วนภูเขาไฟระเบิดมีน้อยมาก สำหรับประเภทที่สามนั้น
โรคร้ายมีเพิ่มขึ้นเห็นได้ชัดมากขึ้น มีโรคแปลกใหม่เกิดขึ้นและระบาดอย่างรวดเร็ว
หากแยกตามทวีปที่เกิดภัยพิบัติ พบว่า
ทวีปแอฟริกาเจอปัญหาการแพร่กระจายของโรคร้ายแรงมากที่สุด ทวีปอเมริกาเจอปัญหาจากพายุเฮอร์ริเคนและน้ำท่วมมากที่สุด
เอเชียเจอน้ำท่วม พายุและแผ่นดินไหว มากที่สุด ยุโรปเจอน้ำท่วม ส่วนโอเชียเนีย คือ
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และหมู่เกาะแปซิฟิกเจอแผ่นดินไหวมากที่สุด
แต่ในระดับที่ไม่รุนแรง
สถิติเฉพาะปี 2550ที่เพิ่งผ่านไป
เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติรวม 126 ครั้ง
โดยสหรัฐเจอเข้าไปมากที่สุดซึ่งส่วนใหญ่เป็นพายุเฮอริเคนที่ก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน
22 ครั้ง จีน 20 ครั้ง อินเดีย 18
ครั้ง ฟิลิปปินส์ 16 ครั้ง อินโดนีเซีย 15 ครั้ง ปากีสถาน 9 ครั้ง ญี่ปุ่น 8 ครั้ง ที่เหลือกระจายกัน อย่างไรก็ดี
ความเสียหายด้านชีวิตมนุษย์ในประเทศพัฒนาแล้วมีน้อยลง เพราะมีมาตรการป้องกัน
การอพยพโยกย้ายประชาชน แต่ในประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจนยังมีมากเช่นเดิม ประเมินว่า
ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติทางธรรมชาติทั่วโลกในปี 2550 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านดอลลาร์
ปี 2550
ภัยพิบัติทางธรรมชาติขนาดใหญ่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินและต่อเศรษฐกิจมากที่สุด
มาจากภัยน้ำท่วมเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ ลมพายุ ส่วนแผ่นดินไหว
อากาศหนาวเย็นจัด ภัยแล้ง ไฟป่า ดินถล่ม อยู่ในระดับต่ำ
ที่มีน้อยมากคือภูเขาไฟระเบิดและคลื่นยักษ์ที่เรียกว่า สตอร์ม เซิร์จ
สำหรับภูมิภาคที่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติมากที่สุดในปี
2550 คือ ทวีปเอเชีย (74.8%) ซึ่งส่วนใหญ่เจอพายุและน้ำท่วมเป็นสำคัญ
ไม่ว่าจะเป็นจีน บังคลาเทศ อินเดีย ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียซึ่งเป็นเกาะ
เช่นเดียวกับญี่ปุ่นและไต้หวัน ที่เจอพายุหลายสิบลูกในแต่ละปี ประเทศลุ่มน้ำโขง เช่น
ไทยก็เจอน้ำท่วมเป็นประจำ ทวีปอเมริกา (12.2%) ส่วนใหญ่เจอพายุเฮอริเคนแถบรัฐชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก
แอฟริกา (6.5%) ยุโรป (5.1%) โอเชียเนีย
(1.4%)
ในปี 2551 ยังไม่มีสถิติแต่ พบว่า
โลกเจอพายุ น้ำท่วม ไม่น้อยกว่าปีก่อน
ถ้าหากบอกว่าโลกร้อนขึ้นจนทำให้บรรยากาศโลกเปลี่ยนแปลงไป เกิดภัยพิบัติมากขึ้น
ก็น่าจะมีเหตุผลพอรับได้ แม้ว่ามนุษย์ยังไม่สามารถป้องกันหรือ ระงับภัยธรรมชาติได้
แต่ก็สามารถลดความเสียหายได้โดยเฉพาะชีวิตของผู้คน
โดยการมีระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพ
สามารถอพยพประชาชนหนีภัยไปยังที่ปลอดภัยได้ล่วงหน้า
วิทยาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าสามารถป้องกัน ยับยั้งการแพร่กระจายของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้จะยังไม่สามารถรักษาโรคร้ายบางโรคให้หายขาดได้ก็ตาม